เริ่มยังไงดีน้าาาา 5555 เดือนนี้เป็นเดือนที่ทำอะไรหลายๆอย่าง และเกิดอะไรขึ้นหลายๆอย่างโคตรรรรรร
สถานะตอนนี้คือยังตกงานอยู่ และโควิดก็แย่ลงกว่าเดิมมากๆๆ จากที่เดือนก่อนติดโควิด คิดเป็น 2,000+
แต่ตอนนี้คือ 3,000+4,000+ นั้นขึ้นอยู่กับว่าขยันตรวจแค่ไหน
เดือนนี้ผมเห็นข่าวคนฆ่าตัวตายเยอะขึ้น หมอที่ทนไม่ไหวออกมาเรียกร้องมากขึ้น แต่รัฐบาลก็ยังทำหน้าระรื่น
ผมได้แต่บ่นด่าทุกวัน ผมโมโหจริงๆ หลายๆสิ่งมันไม่ถูกต้อง ผมเป็นพลังเงียบที่สู้มาตลอด แต่ตอนนี้ผมจะไม่เป็นพลังเงียบแล้ว
การเป็นแบบนั้นมันพิสูจน์แล้วว่าเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ผมเงียบมานาน และมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน
ผมอาจจะต้องคิดใหม่ ถ้าผมไม่เงียบ ผมจะเปลี่ยนอะไรได้ไหม
ต้นเหตุของการเงียบ ถ้าให้เล่าคือ ตอนเด็กๆผมเคยเป็นคนมีพลัง ผมไม่ชอบอะไรที่ไม่ถูกต้อง
แต่การที่ผมทำตัวขัดแย้งกับกฏและเราสู้คนเดียว ความที่ยังเด็ก คิดไม่รอบคอบ นั้นทำให้ผมเหนื่อย และในที่สุดก็ไม่ไหว
และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่จะตัดสินใจว่า ผมจะไม่ไปคิดแทนใคร จะไม่เอาความรู้สึกเราไปแทนใคร
ถ้าพวกเขาทนได้ ผมจะไปทนกับพวกเขาทำไม ปล่อยไปเถอะ
แต่ตอนนี้ ผมอยากจะเชื่ออีกครั้งว่า ผมไม่ได้คิดไปเองคนเดียว ผมคิดว่าผมน่าจะมีเพื่อน และเชื่อว่าครั้งนี้ผมจะเปลี่ยนแปลงอะไรในประเทศไทย และบางอย่างในตัวเองได้
ปฏิบัติตามแผน
อยากให้อ่านของเดือนพฤษภาคมก่อนครับ เพราะจะเข้าใจว่าผมคิดอะไร
ครึ่งเดือนแรก ผมพักตามแผนที่วางไว้ และศึกษา Flutter อย่างจริงๆจังๆตามที่ตั้งไว้ ผมคิดว่ามีอนาคตจริงๆ
แต่ที่ทำตามแผนไม่ได้คือ ผมไม่สามารถศึกษา Deep Go, ทำระบบ login, Learn Desgin System
เวลาไม่พอจริงๆ ถ้าทำตะบี้ตะบันทำ ผมว่าไม่คุ้มเลย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ผมคิดถูกไหมที่ทำ Flutter ก่อน
และตอนนี้ ผมปรับแผนเป็นหางานต่างประเทศ เพราะผมได้คำตอบแล้วว่า อยากทำงานที่ใช้ภาษาต่างประเทศมากกว่า
ส่วนเรื่องเรียนจีน ไปได้สวยมากครับ ผมพูดคล่องขึ้น ผมมั่นใจขึ้น ผมโหลด HelloTalk และคนจีนชมว่าสำเนียงมาตรฐานมาก
นั้นเป็นกำลังใจที่ดีมากครับ จากเด็กขึ้อายๆ คนที่ไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกดีและมั่นใจมากขึ้นจริงๆครับ
แล้วครึ่งเดือนหลังทำอะไร?
ครึ่งเดือนหลัง ผมสมัครงานไป 2 ที่ครับ
ส่วนตัวคิดว่ามันน้อยไป ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอัพเดท Profile LinkedIn, StackOverflow
ผมมุ่งไปที่ Backend Developer มากกว่า Full Stack
เพราะ Full Stack ส่วนใหญ่เป็น NodeJS+React
แต่ผมไม่ชอบ React แม้จะเปิดใจลองหลายครั้งแล้ว ก็รู้สึกมันไม่ถูกจริตอยู่ดี เพราะงั้นไม่ฝืนดีกว่า
ปัญหาก็คือ ยังไม่มีบริษัทใน StackOverflow เรียกสมัครเลย ส่วน LinkedIn ก็มีแต่ Recruiter และส่วนใหญ่ก็คือ ทำงานในบริษัทไทย หรือต่างชาติในไทย ที่ใช้เทคโนโลยีเก่า ผมก็เลยปัดตกไปก่อน (เหนื่อยด้วยแหละ บาง HR ไม่ค่อยเตรียมตัวเลย)
นอกเหนือจากเรื่องงาน
ถ้านอกเหนือจากเรื่องงาน ก็ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ พัฒนา skill เล่นกับหลาน ชีวิต routine
เหมือนคนไม่ตกงาน มีงานทำทุกวัน แต่ไม่มีเงินเดือนนะ 5555
เรื่องภาษา
ภาษาจีนผมดีขึ้น ภาษาอังกฤษผมมั่นใจขึ้น แต่ก็คือยังผิด grammar ผิด pronunciation
จากที่เรียน english 20 ปี มันฝึกแบบนั้นแทบตายก็ไม่ช่วย ถ้าไม่ได้พูด ถ้าไม่กล้าพูด!!!!
ในชีวิตจริง มีคนมากมายที่เปิดใจ พร้อมฟัง แม้เราจะพูดผิด
แต่มันก็มีคนที่ทำให้เรารู้สึกแย่เมื่อเราพูดผิด (ซึ่งนั้นดันเป็นคนไทยด้วยกันเอง – -)
ผมยังเหลือเวลาอีก 60 กว่าวันในการเตรียมสอบ HSK3 ซึ่งคิดว่าน่าจะพอครับ
น่าจะพอดีตามแผนเป๊ะๆเลยมั้ง 555 เพราะภาษาพูดกับ HSK3 grammar มันมีส่วนต่างกันอยู่
ผมเจอคำที่ให้ความหมายคล้ายกันเยอะขึ้น เช่น 容易VS简单, 告诉VS讲,然后VS后来
ก็เหมือนภาษาไทยครับ คำที่ให้ความไปทางเดียวกัน แต่บริบทกับระดับความรู้สึกต่างกันเล็กน้อย
เรื่อง Skill
ผมทำ daily routine CodeSignal เหมือนเล่น puzzle game ลับสมอง สนุกๆครับ
ผมเลือกภาษา Golang นั้นทำให้เวลาแก้ปัญหา ผมก็จะได้เทคนิค go เล็กๆน้อยไปด้วยครับ
นอกจากนั้นก็ทำ Flutter ครับ ตอนนี้กำลังทำ Firebase Login ครับ
มีตัวอย่างมากมาย แต่ผมก็ทำได้แค่ 50-60% ไม่สำเร็จดังที่ตั้งใจครับ
แต่ถ้ามองภาพกว้างๆ คือ ผมแทบไม่ได้พัฒนาสกิลเลยครับ ซึ่งเดือนหน้าผมต้องปรับปรุบเรื่องนี้
เรื่องจิตใจ
ผมแบ่งเวลาเสาร์-อาทิตย์ สอนหลานหลายๆอย่าง ทั้งว่ายน้ำ เล่นสีน้ำ เต้น ร้องเพลง
นั้นทำให้ผมรู้เลยว่า แม้หลานจะอายุ 5-6 ขวบ แต่ความคิดหลานไปเกินอายุแล้ว
และนั้นทำให้ยากมาก เวลาเราคุย เวลาเราอธิบาย หรือปลอบใจ เราต้องคิดคำที่เหมาะสมกับเค้าจริงๆ
โดยส่วนตัว คิดว่าหลานจิตใจดี ดีมากๆ รู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง ยอมรับความผิดตัวเอง
แต่ข้อเสียก็มีครับ นั้นคือ ตื่นเต้นเวลาได้เล่นอะไรใหม่ๆนั้น แทบไม่ได้ฟังที่ผมสอนเลย – –
แล้วมักจะน้อยใจที่ทำไม่ได้ (ก็ไม่ฟังไม่ดูที่สอน มันจะได้หม๊ายยยยยยย) แต่ผมก็ไม่ได้โกรธหลานเลยนะ
เพราะต่อให้ดุไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไร ปรับตัวเราให้เข้าใจและหาวิธีสอนให้หลานมีสมาธิและใจเย็นดีกกว่า
ที่ยากที่สุดน่าจะเป็นการเปลี่ยน mindset ยาย ให้มองหลานว่าโตแล้วมากกว่า – –
วิธีและคำพูดยาย ยังมองหลานเป็นเด็ก นั้นทำให้หลานรู้สึกด้อยคุณค่าในตัวเอง ไม่มั่นใจในตัวเอง
ถ้านอกจากเรื่องหลาน ในส่วนตัวผมเองก็มีการเช็คจิตใจเป็นระยะๆ
เช่น การเล่าให้แฟนฟัง ปรึกษาแฟน การทำสมาธิ การเขียน blog การพูดคุยกับเพื่อนใน Clubhouse ออกกำลังกายเบาๆ
ในสถานการณ์แบบนี้ ปัจจัยส่วนตัว สภาพแวดล้อม การเมืองที่มีแต่ข่าวร้าย ผมไม่สติแตก ไม่จิตตกทั้งวัน ก็ดีละ
อารมณ์มันก็มีขึ้นๆลงๆบ้างแหละ จะไม่ให้โมโหรัฐบาลได้ไง(หียยย) เอาเถอะ รู้ตัว คุมอารมณ์ทัน ผมก็โอเคละ
แผนการเดือนหน้า
ตอนนี้ผมตัดสินใจยากมากครับ เพราะ มีพี่ๆเพื่อนๆที่ให้โอกาสผม ทั้งเสนองาน เสนอหุ้นร่วม เสนอโปรเจค
แต่ผมสับสนมาก ตัวเลือกมันเยอะ แต่ผมมีเวลาที่จำกัด
ในตอนแรก ผมลังเลอยู่นานว่า ผมจะเลือกทำตามแผนเดือนที่แล้วดีไหม….
หรือผมจะทำแบบ freelance แล้วเรียนภาษาควบไปด้วยดี หรือจะสมัคร remote ต่างชาติดี ผมคิดเยอะแยะไปหมด หาข้อดีข้อเสียมาให้เหตุผลตัวเองมากมาย
จนผมมาลองคิดดูหลายๆอย่าง ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ผมอยากเป็นอะไร ผมอยากทำอะไร ผมเห็นตัวเองอยู่ที่ไหน
นั้นทำให้ผมตัดสินใจง่ายขึ้น
ผมคิดว่าผมอยากได้ภาษา อาจจะเพราะอยากแก้ปมด้อยตอนเด็ก (พูดไม่ชัด) หรืออาจจะมองไม่เห็นอนาคตประเทศไทย
30 ปีผ่านมา ผมรู้สึกเสียดายเวลาหลายๆอย่าง จนตอนนี้ผมคิดว่าผมจะทำตามใจตัวเอง
ผมอยากลองปรับการทำงานเป็น remote รื้อความคิดแบบเดิมๆ ลองให้โอกาส mindset ใหม่ๆ 1-2 ปี แปบๆเอง
ผมอาจจะได้เห็นอะไรใหม่ๆก็ได้ครับ
สรุปเดือนนี้
โดยรวมผมว่าไม่แย่เลยนะครับ ผมรักษา routine ของตัวเองได้ ผมเรียนภาษา มีเพื่อนใหม่ๆเพียบ ผมได้ลอง flutter ผมได้ใช้ Golang ได้ฝึก logic สนุกๆทุกวัน ฝึกภาษาอังกฤษ อัพเดทเว็บ อัพเดท Resume เรื่อยๆ ยิ่งสมัครงานก็ยิ่งเจออะไรแปลกๆให้ทำ 555 (เหนื่อย แต่ก็ดีเนอะ)
และที่สำคัญ หลานผม Heal ผมได้เยอะเลยครับ ผมมีความสุขจริงๆ 🙂
สรุปเดือนเดือนหน้า
ตอนนี้ผมกำลังแต่ง Resume บน StackOverFlow เพื่อใช้หางานอยู่ครับ
ปัญหาที่เจอคือ ฟัง native speaker ไม่ชัดครับ มา 100% ได้แค่ 20-30%
วิธีแก้ คงต้องฟัง และเลียนแบบวิธีพูดบ่อยๆ มี app Cake ครับ ที่ผมว่าน่าสนใจ
ก็คือ เดิมพันอีก 1 เดือนสำหรับการหางาน และฝึกภาษา