เดินทางตั้งแต่วันที่ 6 ธค 2563 พอถึงน่าน ก็ให้พี่โอ๊ตมารับ
พี่โอ๊ตพาไปร้านกาแฟเพื่อน นั่งคุยกันสักพักใหญ่ๆ เฮฮาตามประสาคนไม่ได้เจอกันนาน
พอตกเย็น ค่ำๆ มีถนนคนเดินตรงหัวมุมเมืองน่าน ก็เลยไปเดินเลยกันสักกะหน่อยยย
แต่ไม่มีของอะไรน่าสนใจเลย เราซื้อแค่หมวกไหมพรมเพื่อไว้ เพราะปีที่แล้วหนาวหัวมากกก
พี่โอ๊ตไปส่งที่วัดประมาณ 20.00 เป็นเวลาเทศนาพอดี ก็เลยต้องรอพระไกต์
กลายเป็นว่าพระกลับกุฏิไปแล้ว รอเก้ออ ก็เลยบอกพระในวัดไปเลยว่ามาทำสมาธิ
พระรูปอื่น พอคุ้นหน้าเรา ก็เลยไม่มีปัญหา จัดที่หลับที่นอนให้เรียบร้อย
ในคืนแรก 6 ธค
ครั้งนี้ได้นอนแบบบ้านพักฟีลลิ่ง homestay แหละ บ้านกลางป่า กลางเขา อากาศสดชื่น แต่เดินไม่ดีก็อาจจะเหยียบงู 555
ห้องที่นอนมี 2 เตียง 2 ห้องน้ำด้านใน และ 2 ห้องน้ำด้านนอก ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ก็จะหนาวๆหน่อย
ห้องที่นอน มีน้าคนนึงนอนประจำอยู่แล้ว พอเจอหน้าก็กล่าวทักทายสวัสดีกันเท่านั้น จนตอนนี้ยังไม่ทราบชื่อน้าคนนั้นเลย
7 ธค
ตื่นตีสาม ทำวัตรเช้า จะมีสวดมนต์ นั่งสมาธิกลางแจ้ง โคตรหนาว แต่กลับรู้สึกสดชื่น อากาศดีมาก
โดยส่วนตัว ผมไม่สวดมนต์ ไม่กราบพระ พระสวดมนต์ ผมก็ฝึกสมาธิของผมไป
แต่ยอมรับว่าเสียงสวดมนต์ ช่วยปรับคลื่นสมองต่ำ ทำให้ผมสามารถทำสมาธิได้ต่อเนื่องยาวๆ (ไม่ได้หมายถึงนั่งยาวๆ แต่หมายถึงสามารถทำได้เรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกเหนื่อย หรือกระวนกระวาย)
ปกติจะเป็นสวด 1 ชั่วโมง นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง แต่ผมก็นั่งไป 1.30 หรือ 2 แล้วแต่ว่าไหวแค่ไหน ถ้าไม่ไหวก็จะหนีไปนอน เพราะมันหนาวมากกกก
พอ 6 โมง จะมีเดินจงกรม ผมก็ออกมาเดิน เพราะมันเป็นรูปแบบการฝึกจิตแบบหนึ่ง
การเดินก็จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
เส้นทางที่เดิน มีตั้งแต่ทางสบาย จนไปลำบาก เดินเท้าเปล่า เศษหินบาดเท้า บางครั้งก็เกิดแผล เดินเช้าๆ อากาศก็หนาวเย็น ทำไมเราต้องมาลำบากแบบนี้ นั้นคือคำถามที่บางครั้งผมถามตัวเอง….
แต่ที่ผมถามตัวเอง คือถามด้วยความสงสัย เพราะคนปกติ ไม่มีมาแบบนี้หรอก
ส่วนตัวผม ผมไม่รู้สึกลำบาก
ผมมีสมาธิกับการเดิน ในบางครั้งอาจจะเกร็งไป แต่พอเรารู้ตัว ก็ผ่อนคลาย รู้ว่าหนาวก็คือหนาว รู้ว่าเจ็บก็คือเจ็บ เหนื่อยก็คือเหนื่อย
มันไม่ได้ลำบากอะไรเลย ผมรู้สึกดีด้วยซ้ำ ที่ผมตัดเรื่องให้คิดมากในหัวออกไปจนหมด
มีแต่เดิน เดิน เดิน เดินไปเรื่อยๆ และรับรู้ความรู้สึกตัวเอง
8 ธค
ตอนเช้าก็เหมือนเดิม นั่งสมาธิ เดินจงกรม กวาดลานวัด ทำความสะอาดรอบๆ
พอประมาณ 9 โมงก็ทานข้าว
การทานข้าวเป็นช่วงเวลาที่ผมทั้งทุกข์และสุข เพราะ
สุขที่ได้ทาน ก็ทานวันละมื้อ มันก็มีหิวบ้าง แต่ไม่ได้กระวนกระวาย
ทุกข์ที่คนเยอะ วุ่นวาย คนส่วนใหญ่มองว่าอาหารพระมันบุญเยอะ แย่งกันหยิบแย่งกันกิน
ภาพที่เห็นมันทำให้รู้สึกเอื่อม
ตัวเราเลือกที่จะกินข้าวกะละมังเดียว ใส่ทุกอย่าง ทั้งของหวาน ของคาว น้ำแกงลงในชามใบเดียว บางครั้งที่เอื้อมมือตักข้าวเข้าปาก ก็รู้สึกปลงๆ ฟีลประมาณว่าพระยังกินหรูกว่าเราอีก แต่เราก็มิได้ทุกข์ แค่มองว่า แค่นี้ก็พอแล้ว มันก็พอมีรสชาตเบาๆ อิ่มท้องเหมือนกัน เราสบายใจแล้ว
หลังทานมื้อเดียว
ก็จะกลับที่พัก กวาด เช็ดถู จัดเก็บอะไรให้เรียบร้อย เวลาเราทำอะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้ มันสบายใจ มันเป็นความรู้สึกที่เบา และดีต่อใจ
พอสายๆ 10 โมง พระก็จะตีระฆังเดินจงกรม เราก็ไปเดิน
มันไม่ได้หนักหนาหรือลำบากอะไร เราก็เดินได้
พอเดินกลับมา ก็จะทำกิจธุระส่วนตัว
ผมก็จะนอนพักสักครู่ เปิดมือถือ เช็คไลน์ นิดๆหน่อยๆ มันไม่มีความอยากอะไรกับมือถือเลย จากนั้นถ้าไม่ทำสมาธิ ก็จะหลับไป
ระยะเวลาในการหลับ จะประมาณ 0.30 – 1 ชั่วโมง
พอตื่นก็จะไปซักผ้า อาบน้ำ จากนั้นก็จะมานั่งอ่านภาษาจีน อ่านไปเรื่อยๆ ปวดหลังก็นอนพัก ตื่นก็กวาดใบไม้ อ่านหนังสือ วนแบบนี้ทุกวัน แต่ไม่เบื่อ
บ่าย 2 ทำสมาธิ 1 ชั่วโมง
บ่าย 3, 4, 5 จะเป็นวนอ่านหนังสือ และ 5 โมงจะเดินจงกรม
1 ทุ่มจะสวดมนต์
2 ทุ่มจะเทศนา จากนั้นจะนั่งสมาธิอีกนิดหน่อย ถึงประมาณ 3 – 4 ทุ่ม แล้วแต่วัน
ปัญหา
ในวันที่ 8 ช่วงเย็นมีกลุ่มวัยเกษียณมาขอพักที่วัด ตอนแรกเราก็นึกว่ามาปฏิบัติธรรม
แต่พวกลุงๆแกมาเที่ยว
สิ่งที่น่าเกลียดคือ การคุย เปิดวิดีโอ ในห้องนอนยาม 3, 4 ทุ่ม
มันเป็นการไร้มารยาทมาก กว่าลุงๆแกจะนอนได้ก็ห้าทุ่ม เกือบเที่ยงคืน
และยังนอนกรน นอนตด นอนเกาเสียงดัง ทำให้ผมหลับๆตื่นๆ
ภาพลุงๆเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกปลงกับความชรา และทิฐิของบุคคล การคุยข่มกัน รู้จักคนนู้น รู้ยังงั้น รู้ยังงี้ ช่างน่าสงสารพวกเขาเหล่านั้นเหลือเกิน
9 ธค Event วันสุดท้าย
ในทุกๆปี จะมีงานที่วัดตั้งแต่ 5-9 ธค อย่างปีที่แล้วผมบังเอิญมาวันที่ 5 ถึง 9 พอดี
วันนี้เป็นวันสุดท้าย คนมาเยอะเป็นพิเศษ และก็เหมือนๆเดิมครับ
เรื่องอาหาร ยิ่งวุ่นวาย ผู้สูงอายุหลายคนมองว่าอาหารพระ คือ อาหารบุญ
ล้วนห่อกลับบ้านกันมาก ผมแทบจะไม่มีอะไรกินเลย
ปีนี้ดีหน่อย เหมือนมีคนจำหน้าได้ ก็เลยตักแบ่งเนื้อให้เราบ้าง
อย่างปีที่แล้ว กินแค่ข้าวกับเนื้อนิดหน่อย แล้วก็ผลไม้ จำได้ว่าหิว แต่ไม่ได้โกรธแค้นเลยกินเลย แค่เอื่อมเฉยๆ
10 ธค
เป็นครั้งแรกที่อยู่วัดแบบไม่มี event
วัดเงียบมาก เงียบแบบ อ๋อนี่หรือคือวันปกติ
ข้อเสียคือ ไม่มีคนนำเดินจงกรม ไม่มีตีระฆัง เจอแบบนี้เข้าก็เหวอๆ เพราะเราไม่รู้จะต้องเริ่มต้นเองอย่างไร
แต่สุดท้ายก็ยึดรูปแบบเดิม ตั้งปลุกเอง เดินจงกรมเอง ทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม
ที่พิเศษ คือ ตอนปกติจะเดินจงกรม แต่คราวนี้ไปช่วยพระบิณฑบาตแทน ก็งงๆ
เพราะพระเดินเร็ว ทำเวลา และเราไม่รู้สเต็ปในการทำงาน แต่ก็เข้าใจไม่ยาก ปรับตัวได้ไว
หลังบิณฑบาตเสร็จก็แยกอาหาร ของหวาน ของคาว ของแห้ง และอื่นๆ
ณ ตรงนี้ ผมก็ไม่สบายใจ เพราะคนหนึ่งสั่งแยกอย่างนึง อีกคนหนึ่งสั่งแยกอาหารอีกแบบนึง หรือ อาหารต้องประเคน ก็ต้องจัดสวยๆ
ผมได้แต่คิดว่า มันวุ่นวาย และทำไมต้องถวายให้พระสวยๆ ทำไมต้องจัดสวยๆ ในเมื่อสุดท้าย พระก็แค่รับ และวาง
ผมมองว่าพระสบายกว่าเราๆอย่างมาก มีคนดูแลจัดการความเป็นอยู่ให้ เรื่องอาหารก็ได้ทานก่อน ทานดีกว่า หรืออุปกรณ์ของใช้ เครื่องนุ่งห่ม เครื่องอาบน้ำ น้ำอุ่น มีพร้อม
ที่พูดไม่ได้ต้องการว่าร้าย แค่พูดตามที่ได้ยิน ได้เห็น มันเป็นเรื่องจริง
พระบางรูป อาจจะยังเป็นพระใหม่ มิได้สำรวม แต่พระเก่าๆ ที่น่านับถือก็มีจริงๆ
11 ธค
ตอนเช้าก็กิจเหมือนเดิม เราก็เข้าไปลาเจ้าอาวาสให้เรียบร้อย เพราะพรุ่งนี้เราต้องออกแต่เช้า เครื่องขึ้น 9 โมง ยังไงก็ทานมือเช้าไม่ทัน
แต่พอดีพี่โอ๊ตจะแวะเข้ามา เราก็เลยติดรถออกไปตอนเที่ยงด้วยเลย
ถือโอกาสเช่ามอไซต์ขับรถเล่น 1 วันแล้วค่อยกลับ
มาน่าน กี่ทีๆ ก็ไม่ได้เที่ยวเลย มาดูที่ดิน มาปฏิบัติธรรมเท่านั้น
12 ธค
กลับตามปกติ ไม่มีอะไรพิเศษ มีแค่จิตที่ยังคงสงบ แต่ก็คงไว้ได้ 2-3 วันแหละ ก็กลับมาวุ่นวายเหมือนเดิม 555
สรุป
ในปีนี้ ผมมิได้ทุกข์ดังเช่นปี 2019 ดังนั้นการไปปฏิบัติในครั้งนี้ เลยมิได้เกิดความรู้สึกอิ่มเอิบใจแต่อย่างใด
สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นความทุกข์ ที่โหยหาความรู้สึกเมื่อครั้งนั้น โหยหาความรู้สึกปิติ อิ่มเอิบ ยิ่งคิดถึง จิตใจยิ่งติดลบ เพราะเราคิดว่าการที่เราปฏิบัติเหมือนเดิม เหมือนเมื่อปี 2019 แต่กลับไม่ได้ความรู้สึกเดิมกลับมา มันยิ่งทำให้ เราไม่สบายใจ
ยิ่งนั่งปฏิบัตินานเท่าใด ก็กระวนกระวาย ปวดขา ปวดหลัง ทำอย่างไรถึงจะเหมือนอดีต
แต่แท้จริงแล้ว ทุกอย่างมันว่างเปล่า ถึงปีนี้จะไม่ได้เห็นแสง ไม่ได้รู้สึกอิ่มเอิบ แต่ก็ได้เข้าใจอะไรหลายๆอย่างในการทำสมาธิมากขึ้น
ได้รู้ว่าเราทุกข์ เพราะเราขวนขวายหาความทุกข์
ได้รู้ว่าความสุข ก็ทุกข์ได้ เพราะเราเสพติดสุขนั้น
พอคิดได้อย่างงั้น ทุกอย่างมันไม่มีอะไรเลย มันไม่ต้องคิด มันเหมือนปล่อยใจให้ไหล แต่ก็ไม่ไหล มันเหมือนเรามีสติ รู้ตัว รู้สึกรู้ทุกข์ ชอบไม่ชอบ หนาวร้อน ผมมีอารมณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น ผมรู้ตัว แต่ก็เหมือนแล้วไง
อธิบายยากจริงๆ 555 เอาเป็นว่าปีนี้มันเหมือน vacation time ละกัน
ผมไม่ได้ชอบแนวทางแบบพระ แต่ก็ไม่ชอบแนวทางแบบมนุษย์ปกติ
ผมได้คำตอบแล้วว่า ตัวเองต้องการความสงบแบบไหน แต่สิ่งที่ผมต้องการมันก็ใช้เงิน
ถึงไม่เยอะ ใช้เวลาเตรียมการ
ก็หวังว่า คำตอบที่ผมคิดไว้ มันจะเกิดขึ้นเร็ววัน